คำถาม : บริษัท แปซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ จำกัด (มหาชน) หรือ PCHI และ บริษัท แปซิฟิก ครอส นายหน้าประกันภัย จำกัด หรือ PCIB แตกต่างกันอย่างไร?
คำตอบ : กลุ่มแปซิฟิคครอส (Pacific Cross Group) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประกันสุขภาพในภูมิภาคเอเชียมายาวนานถึง 45 ปี และดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานตั้งแต่ปี คศ. 1980 อย่างไรก็ดี บริษัท แซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ จำกัด (มหาชน) เพิ่งก่อกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี คศ. 2013 โดยการเข้าซื้อหุ้นกิจการจากบริษัทประกันสุขภาพที่จดทะเบียนในชื่อว่า บริษัทบริรักษ์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) แล้วทำการปรับโครงสร้างทุนจดทะเบียนและกุล่มผู้บริหารใหม่ทั้งหมด บริษัท แซิฟิค ครอส ประกันสุขภาพ จำกัด (มหาชน) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 152 อาคาร ชาร์เตอร์ สแควร์ ชั้น 21 ห้อง 21-01 ถนนสาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 ... ดังนั้น บริษัท PCHI จึงทำหน้าที่เป็น "บริษัทประกันภัย"
บริษัท แปซิฟิก ครอส นายหน้าประกันภัย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี คศ. 2008 โดยได้รับใบอนุญาต เป็นนายหน้าประกันวินาศภัย จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ทะเบียนเลขที่ ว00015/2553 ซึ่ง PCIB ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนการตลาดให้กลุ่มแปซิฟิคครอสมานานก่อนที่ PCHI จะก่อกำเนิดขึ้น นอกจากนี้ PCIB ยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นในบริษัทประกันภัย PCHI อีกด้วย บริษัท แปซิฟิก ครอส นายหน้าประกันภัย จำกัด มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 555/29 อาคาร เอสเอสพี ทาวเวอร์ ชั้น 14 ถนนสุขุมวิท 63 (เอกมัย) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 ... ดังนั้น บริษัท PCIB จึงทำหน้าที่เป็น "บริษัทนายหน้า"
ท่านลูกค้าที่สนใจทำประกันสุขภาพกับแปซิฟิคครอส สามารถติดต่อเราได้ที่ 086-341-8080
บริษัท แปซิฟิก ครอส นายหน้าประกันภัย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี คศ. 2008 โดยได้รับใบอนุญาต เป็นนายหน้าประกันวินาศภัย จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ทะเบียนเลขที่ ว00015/2553 ซึ่ง PCIB ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนการตลาดให้กลุ่มแปซิฟิคครอสมานานก่อนที่ PCHI จะก่อกำเนิดขึ้น นอกจากนี้ PCIB ยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นในบริษัทประกันภัย PCHI อีกด้วย บริษัท แปซิฟิก ครอส นายหน้าประกันภัย จำกัด มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 555/29 อาคาร เอสเอสพี ทาวเวอร์ ชั้น 14 ถนนสุขุมวิท 63 (เอกมัย) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 ... ดังนั้น บริษัท PCIB จึงทำหน้าที่เป็น "บริษัทนายหน้า"
ท่านลูกค้าที่สนใจทำประกันสุขภาพกับแปซิฟิคครอส สามารถติดต่อเราได้ที่ 086-341-8080
คำถาม : แผน Ultima Plus ระบุผลประโยชน์ในหมวด "ตัวเลือกโรงพยาบาล (Hospital Choice)" ไว้ว่า "... คุ้มครองการปลูกถ่ายอวัยวะเทียม ข้อต่อ เครื่องกระตุ้นหัวใจ เครื่องช๊อกไฟฟ้าหัวใจ ... Extended coverage for artificial organs and implants e.g. Joints, Pacemakers, Defribulators)" ข้อความนี้หมายความว่า แผนอื่นๆ ใน Lifestyle Series จะไม่ให้ความคุ้มครองในกรณีดังกล่าวนี้ใช่หรือไม่
คำตอบ : แผนอื่นๆ ให้ความคุ้มครองเฉพาะค่าผ่าตัดเพื่อเอาเครื่องดังกล่าวและอวัยวะเทียมใส่เข้าไปในร่างกายเท่านั้น แต่จะไม่คุ้มครองค่าเครื่องกระตุ้นหัวใจ ค่าช๊อกไฟฟ้า และค่าอวัยวะเทียม ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง
คำถาม : ผู้เอาประกันในแผน Standard PLus และแผน Standard สามารถเลือกเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลใดได้บ้าง
คำตอบ : สามารถใช้บริการได้ทุกโรงพยาบาล "ในประเทศไทยเท่านั้น" และยกเว้น
- โรงพยาบาล บีเอ็นเอช
- โรงพยาบาล บำรุงราษฎร์
- โรงพยาบาล กรุงเทพ และโรงพยาบาลในเครือที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร เช่น โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ และโรงพยาบาลวัฒโนสถ ฯลฯ
- โรงพยาบาล กรุงเทพเชียงใหม่
- โรงพยาบาล กรุงเทพอุดรธานี
- โรงพยาบาล กรุงเทพขอนแก่น
- โรงพยาบาล กรุงเทพพัทยา
- โรงพยาบาล กรุงเทพระยอง
- โรงพยาบาล กรุงเทพหัวหิน
- โรงพยาบาล กรุงเทพสมุย
- โรงพยาบาล กรุงเทพภูเก็ต
- โรงพยาบาล สมิติเวช และโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด
นอกจากนี้ แม้ในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ก็ไม่สามารถเข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉินในโรงพยาบาลที่ยกเว้นนี้ได้
- โรงพยาบาล บีเอ็นเอช
- โรงพยาบาล บำรุงราษฎร์
- โรงพยาบาล กรุงเทพ และโรงพยาบาลในเครือที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร เช่น โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ และโรงพยาบาลวัฒโนสถ ฯลฯ
- โรงพยาบาล กรุงเทพเชียงใหม่
- โรงพยาบาล กรุงเทพอุดรธานี
- โรงพยาบาล กรุงเทพขอนแก่น
- โรงพยาบาล กรุงเทพพัทยา
- โรงพยาบาล กรุงเทพระยอง
- โรงพยาบาล กรุงเทพหัวหิน
- โรงพยาบาล กรุงเทพสมุย
- โรงพยาบาล กรุงเทพภูเก็ต
- โรงพยาบาล สมิติเวช และโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด
นอกจากนี้ แม้ในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ก็ไม่สามารถเข้ารับการรักษาแบบฉุกเฉินในโรงพยาบาลที่ยกเว้นนี้ได้
คำถาม : ผลประโยชน์ในหมวด "ค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน (Emergency Expenses)" และในหัวข้อ "บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน (Emergency Evacuation)" ครอบคลุมการเจ็บป่วยและสถานที่เกิดการเจ็บป่วยในกรณีใดบ้าง
คำตอบ : ผลประโยชน์ "ค่าใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน (Emergency Expenses)" จะคุ้มครองเฉพาะค่าใช้จ่าย "ฉุกเฉิน" เท่านั้น นั่นคือ ในกรณีที่ผู้เอาประกันเกิดอุบัติเหตุ และต้องเข้ารับการรักษาภายในเวลา 24 ชั่วโมง
ส่วนผลประโยชน์ "บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน (Emergency Evacuation)" นั้น จะคุ้มครองเฉพาะค่าใช้จ่าย "ฉุกเฉิน" เท่านั้นเช่นกัน แต่จะคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันไม่สามารถออกจากที่เกิดเหตุได้ ซึ่งเหตุดังกล่าว อาจเป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นการเจ็บป่วยก็ได้ หรือในกรณีที่ในบริเวณที่เกิดเหตุนั้นมีบุคลากรทางการแพทย์หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ จนจำเป็นต้องใช้บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน ทั้งนี้ อาจจะเป็นกรณีภายในประเทศ หรือต่างประเทศก็ได้ (ขึ้นอยู่กับแผน) โดยหากเป็นภายในประเทศ จะต้องเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันเดินทางจากที่อยู่ปัจจุบันเป็นระยะทาง 150 กิโลเมตร (100 ไมล์) ขึ้นไป เช่น ผู้เอาประกันเดินทางไปเที่ยวภูกระดึงแล้วเกิดการเจ็บป่วย แต่ไม่สามารถเอารถเข้าไปรับเพื่อไปรักษาพยาบาลได้ ซึ่งกรณีเช่นนี้จำเป็นต้องใช้บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน ฯลฯ หรือในต่างประเทศ โดยจะต้องเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันเดินทางไปในประเทศอื่นซึ่งไม่ใช่ประเทศที่อยู่ของผู้เอาประกัน และไม่ได้เป็นการเดินทางจากที่อยู่ดังกล่าวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 90 วัน เช่น ผู้เอาประกันเดินทางไปเที่ยวประเทศอูกันด้า แล้วเกิดการเจ็บป่วยขึ้น แต่ประเทศนี้มีบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอที่จะทำการรักษาได้ ทำให้จำเป็นต้องใช้บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินเพื่อนำตัวผู้เอาประกันออกไปรักษาในประเทศใกล้เคียงหรือในประเทศของผู้เอาประกัน ฯลฯ
ส่วนผลประโยชน์ "บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน (Emergency Evacuation)" นั้น จะคุ้มครองเฉพาะค่าใช้จ่าย "ฉุกเฉิน" เท่านั้นเช่นกัน แต่จะคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันไม่สามารถออกจากที่เกิดเหตุได้ ซึ่งเหตุดังกล่าว อาจเป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นการเจ็บป่วยก็ได้ หรือในกรณีที่ในบริเวณที่เกิดเหตุนั้นมีบุคลากรทางการแพทย์หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ จนจำเป็นต้องใช้บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน ทั้งนี้ อาจจะเป็นกรณีภายในประเทศ หรือต่างประเทศก็ได้ (ขึ้นอยู่กับแผน) โดยหากเป็นภายในประเทศ จะต้องเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันเดินทางจากที่อยู่ปัจจุบันเป็นระยะทาง 150 กิโลเมตร (100 ไมล์) ขึ้นไป เช่น ผู้เอาประกันเดินทางไปเที่ยวภูกระดึงแล้วเกิดการเจ็บป่วย แต่ไม่สามารถเอารถเข้าไปรับเพื่อไปรักษาพยาบาลได้ ซึ่งกรณีเช่นนี้จำเป็นต้องใช้บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน ฯลฯ หรือในต่างประเทศ โดยจะต้องเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันเดินทางไปในประเทศอื่นซึ่งไม่ใช่ประเทศที่อยู่ของผู้เอาประกัน และไม่ได้เป็นการเดินทางจากที่อยู่ดังกล่าวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 90 วัน เช่น ผู้เอาประกันเดินทางไปเที่ยวประเทศอูกันด้า แล้วเกิดการเจ็บป่วยขึ้น แต่ประเทศนี้มีบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอที่จะทำการรักษาได้ ทำให้จำเป็นต้องใช้บริการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินเพื่อนำตัวผู้เอาประกันออกไปรักษาในประเทศใกล้เคียงหรือในประเทศของผู้เอาประกัน ฯลฯ
คำถาม : "ผลประโยชน์สูงสุดต่อโรค" เช่น แผน Ultima เท่ากับ 20 ล้านบาทต่อโรค ฯลฯ ถ้าความเจ็บป่วยนั้นต่อเนื่องคร่อมปีกรมธรรม์ การเบิกค่าสินไหมทดแทนจะนับอยู่ในวงเงินเดียวกันคือ 20 ล้านใช่หรือไม่
ตัวอย่างเช่น กรมธรรม์หมดอายุสิ้นเดือนธันวาคม 2014 ถ้าผู้เอาประกันป่วยเป็นโรคมะเร็งและได้เบิกค่ารักษาพยาบาลภายในปี 2014 ไปแล้วเท่ากับ 4 ล้านบาท นั่นย่อมหมายความว่าในปีกรมธรรม์ต่อมา ผู้เอาประกันท่านนี้จะสามารถเบิกค่ารักษาโรคมะเร็งนี้ได้อีกเท่ากับ 16 ล้านบาทเท่านั้น ถูกต้องหรือไม่
ตัวอย่างเช่น กรมธรรม์หมดอายุสิ้นเดือนธันวาคม 2014 ถ้าผู้เอาประกันป่วยเป็นโรคมะเร็งและได้เบิกค่ารักษาพยาบาลภายในปี 2014 ไปแล้วเท่ากับ 4 ล้านบาท นั่นย่อมหมายความว่าในปีกรมธรรม์ต่อมา ผู้เอาประกันท่านนี้จะสามารถเบิกค่ารักษาโรคมะเร็งนี้ได้อีกเท่ากับ 16 ล้านบาทเท่านั้น ถูกต้องหรือไม่
คำตอบ : ถูกต้อง ผลประโยชน์ต่อโรคจะใช้วงเงินเดียวต่อ 1 โรค โดยไม่สนใจว่าการรักษาอาการเจ็บป่วยจากโรคนั้นจะใช้เวลากี่ปีกรมธรรม์
คำถาม : "ผลประโยชน์สูงุดต่อโรค" เช่น แผน Ultima เท่ากับ 20 ล้านบาทต่อโรค ฯลฯ จะนับการเจ็บป่วยด้วยสาเหตุหนึ่งๆ ตั้งแต่วันที่เริ่มเจ็บป่วย จนถึงวันที่รักษาหายขาด เป็น 1 โรค ใช่หรือไม่
คำตอบ : ไม่ใช่ การนับผลประโยชน์ต่อโรคจะมีวงเงินเดียวต่อ 1 โรค โดยไม่สนใจว่าการรักษาโรคนั้นๆ จะใช้เวลากี่ปีกรมธรรม์
ตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันป่วยเป็นโรคมาลาเรียซึ่งใช้เบิกค่ารักษาพยาบาลไป 1 ล้านบาทจนรักษาหายขาด หากต่อมาในภายหลัง เช่น 5 ปีต่อมา ผู้เอาประกันเจ็บป่วยด้วยโรคมาลาเรียเดียวกันนี้อีก วงเงินคุ้มครองจะเหลืออยู่เพียง 19 ล้านบาทเท่านั้น (สำหรับแผน Ultima) เนื่องจากผู้เอาประกันเคยเบิกเงินเพื่อรักษาโรคเดียวกันนี้ไปแล้ว 1 ล้านบาท
ตัวอย่างเช่น ผู้เอาประกันป่วยเป็นโรคมาลาเรียซึ่งใช้เบิกค่ารักษาพยาบาลไป 1 ล้านบาทจนรักษาหายขาด หากต่อมาในภายหลัง เช่น 5 ปีต่อมา ผู้เอาประกันเจ็บป่วยด้วยโรคมาลาเรียเดียวกันนี้อีก วงเงินคุ้มครองจะเหลืออยู่เพียง 19 ล้านบาทเท่านั้น (สำหรับแผน Ultima) เนื่องจากผู้เอาประกันเคยเบิกเงินเพื่อรักษาโรคเดียวกันนี้ไปแล้ว 1 ล้านบาท
คำถาม : คำว่า "จ่ายตามจริงที่เรียกเก็บ (Normal & Customary Charge)" แตกต่างจากคำว่า "คุ้มครองตามจริง (Fully Indemnified)" อย่างไร
คำตอบ : คำว่า "จ่ายตามจริงที่เรียกเก็บ (Normal & Customary Charge)" มีความหมายที่แตกต่างจากคำว่า "คุ้มครองตามจริง (Fully Indemnified)" กล่าวคือ
คำว่า "จ่ายตามจริงที่เรียกเก็บ (Normal & Customary Charge)" หมายถึง "The amount paid for a medical service in a geographic area based on what providers in the area usually charge for the same or similar medical service."
ส่วนคำว่า "คุ้มครองตามจริง (Full Indemnity)" หมายถึง "Compensation for all incurred damages or loss."
คำว่า "จ่ายตามจริงที่เรียกเก็บ (Normal & Customary Charge)" หมายถึง "The amount paid for a medical service in a geographic area based on what providers in the area usually charge for the same or similar medical service."
ส่วนคำว่า "คุ้มครองตามจริง (Full Indemnity)" หมายถึง "Compensation for all incurred damages or loss."
คำถาม : ผลประโยชน์ "ค่าปลูกถ่ายหรือเปลี่ยนอวัยวะ" นั้น จะนับรวมค่าอวัยวะ ค่าห้อง ค่าผ่าตัด ค่าแพทย์ ค่ายา และค่าอุปกรณ์ด้วยหรือไม่
คำตอบ : นับรวมค่าใช้จ่ายในการปลูกถ่ายและเปลี่ยนอวัยวะทั้งหมดในวงเงินนี้
ยกเว้น "ค่าอวัยวะ" เนื่องจากการซื้อขายอวัยวะไม่สามารถทำได้เพราะผิดกฏหมาย
ยกเว้น "ค่าอวัยวะ" เนื่องจากการซื้อขายอวัยวะไม่สามารถทำได้เพราะผิดกฏหมาย
คำถาม : แผน Ultima ให้ความคุ้มครองค่าปลูกถ่ายหรือเปลี่ยนอวัยวะไว้เท่ากับ 2 ล้านบาทต่ออวัยวะหรือต่อโรค ดังนั้น ถ้าผู้เอาประกันทำการเปลี่ยนหัวใจ โดยเบิกค่าห้อง ค่าแพทย์ ค่าอุปกรณ์ และค่ารักษาพยาบาลทุกอย่าง เท่ากับ 2 ล้านบาท แต่ต่อมา ทำการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนตับ ผู้เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองในวงเงินเท่าไร
คำตอบ : 2 ล้านบาท เพราะความคุ้มครองจะคิดเป็นวงเงิน "ต่ออวัยวะหรือต่อโรค"
คำถาม : ผลประโยชน์ "ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิต (กรณีคนไข้ใน)" จะนับรวมค่าห้อง ค่าแพทย์ ค่ายา และค่าอุปกรณ์ด้วยหรือไม่
คำตอบ : นับรวมค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมดในวงเงินนี้
คำถาม : "การรักษาพยาบาลฉุกเฉินแบบคนไข้นอก (Emergency OPD)" คืออะไร
คำตอบ : "การรักษาพยาบาลฉุกเฉินแบบคนไข้นอก (Emergency OPD)" หมายถึง การรักษาพยาบาลตามความจำเป็นทางการแพทย์ เพื่อบรรเทาการบาดเจ็บหรือการเจ็บป่วยรุนแรงที่ไม่สามารถคาดหมายล่วงหน้าได้ และต้องเป็นการให้การรักษาโดยฉับพลันทันทีแบบคนไข้นอก ซึ่งแพทย์ได้วินิจฉัยแล้วเห็นว่า ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาพยาบาลเช่นว่านั้นแล้ว อาจเป็นเหตุทำให้เกิดการทุพพลภาพ หรือการเสียชีวิตได้ เช่น ผู้เอาประกันประสบอุบัติเหตุ และต้องเข้ารับการรักษาภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เกิดเหตุ ฯลฯ
คำถาม : "การรักษาโดยแพทย์ทางเลือก" ประเภทใดบ้างที่ได้รับความคุ้มครอง
คำตอบ : ปัจจุบันแพทย์ทางเลือกที่สาธารณสุขไทยให้การยอมรับมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ การจัดกระดูก การฝังเข็ม และกายภาพบำบัด ดังนั้น แผนประกันสุขภาพของเราจะให้ความคุ้มครองใน 3 กรณีนี้เท่านั้น (นอกเหนือจากนี้จะไม่ได้รับความคุ้มครอง) แต่ทั้งนี้ ผู้เอาประกันจะต้องมีความคุ้มครองกรณีผู้ป่วยนอก (OPD) อยู่ด้วยจึงจะได้รับความคุ้มครองสำหรับการรักษาโดยแพทย์ทางเลือก
คำถาม : บริษัทผู้ให้บริการฉุกเฉินทั่วโลก 24 ชั่วโมงทุกวันคือใคร
คำตอบ : American Assist International (www.americanassist.com)
คำถาม : ค่าเคลื่อนย้ายฉุกเฉิน (Emergency Medical Evacuation) เช่น การใช้ helicopter หรือเครื่องบิน เพื่อนำส่งผู้ป่วยข้ามประเทศ ฯลฯ ในแผนใหม่ "Lifestyle Series" เขียนไว้ว่า "คุ้มครองตามจริง" นั่นหมายความว่า บริษัทประกันภัยจะไม่จำกัดเพดานค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้าย ใช่หรือไม่
คำตอบ : ใช่ โดยไม่จำกัดเพดานค่าใช้จ่าย แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข Worldwide Evacuation (โปรดอ่านรายละเอียดในกรมธรรม์)
คำถาม : "ผลประโยชน์คลอดบุตรและแท้งบุตร" เช่น แผน Ultima เท่ากับ 150,000 บาทสำหรับการผ่าตัดคลอด ฯลฯ นั้น เป็นวงเงินเหมารวมที่นับรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์ผ่าตัด ค่ายา ฯลฯ ด้วยแล้ว หรือว่าผู้เอาประกันสามารถทำการเบิกวงเงินอื่นๆ เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์ผ่าตัด ค่ายา ฯลฯ ได้ต่างหาก
คำตอบ : ความคุ้มครองเรื่องการคลอดบุตรจะคุ้มครองแบบ "Lump-sum benefit" กล่าวคือ ค่ารักษาพยาบาลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการทำคลอดทั้งหมดจะได้รับความคุ้มครองภายใต้วงเงินที่กำหนดไว้ในหมวดนี้ แล้วแต่กรณี
คำถาม : แผนประกันสุขภาพ Lifestyle Series ให้ความคุ้มครองด้านทันตกรรมหรือไม่
คำตอบ : (โปรดอ่านรายละเอียดในกรมธรรม์อีกครั้งเพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
แผนประกันสุขภาพที่รวมความคุ้มครองด้านทันตกรรมไว้แล้วคือ Ultima Plus และ Ultima
สำหรับแผน Maxima Plus, Maxima, Premier Plus และ Premier นั้น ผู้เอาประกันสามารถซื้อความคุ้มครองด้านทันตกรรมนี้เพิ่มเติมได้
ยกเว้นแผน Standard Extra, STandard Plus และ Standard เท่านั้น ที่ไม่สามารถซื้อประกันภัยทันตกรรมนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ ในเงื่อนไขข้อยกเว้นทั่วไป (Exclusions) บริษัทประกันภัยจึงได้เขียนข้อยกเว้น #8 ไว้ว่า "8. การตรวจรักษาด้านทันตกรรม การผ่าตัด หรือการป้องกันปัญหาโรคเหงือก โรคฟัน หรือ โรคขากรรไกร การนอนกัดฟัน ทันตกรรมประดิษฐ์ การทำฟันปลอม การครอบฟัน การรักษารากฟัน อุดฟัน จัดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟัน การใส่รากฟันเทียม ยกเว้นในกรณีจำเป็นอันเนื่องจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นขณะที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยนี้ แต่ ทั้งนี้ไม่รวมค่าฟันปลอม การครอบฟัน การจัดฟัน การเข้าเฝือกฟัน และการรักษารากฟันหรือใส่รากเทียม"
แผนประกันสุขภาพที่รวมความคุ้มครองด้านทันตกรรมไว้แล้วคือ Ultima Plus และ Ultima
สำหรับแผน Maxima Plus, Maxima, Premier Plus และ Premier นั้น ผู้เอาประกันสามารถซื้อความคุ้มครองด้านทันตกรรมนี้เพิ่มเติมได้
ยกเว้นแผน Standard Extra, STandard Plus และ Standard เท่านั้น ที่ไม่สามารถซื้อประกันภัยทันตกรรมนี้ได้
ด้วยเหตุนี้ ในเงื่อนไขข้อยกเว้นทั่วไป (Exclusions) บริษัทประกันภัยจึงได้เขียนข้อยกเว้น #8 ไว้ว่า "8. การตรวจรักษาด้านทันตกรรม การผ่าตัด หรือการป้องกันปัญหาโรคเหงือก โรคฟัน หรือ โรคขากรรไกร การนอนกัดฟัน ทันตกรรมประดิษฐ์ การทำฟันปลอม การครอบฟัน การรักษารากฟัน อุดฟัน จัดฟัน ขูดหินปูน ถอนฟัน การใส่รากฟันเทียม ยกเว้นในกรณีจำเป็นอันเนื่องจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นขณะที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยนี้ แต่ ทั้งนี้ไม่รวมค่าฟันปลอม การครอบฟัน การจัดฟัน การเข้าเฝือกฟัน และการรักษารากฟันหรือใส่รากเทียม"
คำถาม : "การบำบัดรักษาโรคทางทันตกรรม (Dental Benefit)" ครอบคลุมความคุ้มครองใดบ้าง (ถ้ามี)
คำตอบ : อ้างอิงตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ในหมวดทันตกรรม (โปรดอ่านรายละเอียดในกรมธรรม์อีกครั้งเพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
“ความคุ้มครองสำหรับการบำบัดรักษาโรคทางทันตกรรม" มีดังนี้
1. ตรวจฟัน จำกัดความคุ้มครองไม่เกิน 2 ครั้ง / ปี
2. ขูดหินปูน จำกัดความคุ้มครองไม่เกิน 2 ครั้ง / ปี
3. การเคลือบฟลูออไรด์ (เฉพาะผู้ได้รับความคุ้มครองที่มีอายุไม่เกิน 12 ปี)
4. เอ็กซเรย์ฟัน จำกัดความคุ้มครองไม่เกิน 2 ครั้ง / ปี
5. อุดฟัน จำกัดความคุ้มครองไม่เกิน 2 ครั้ง / ปี
6. ถอนฟัน
7. รักษารากฟัน
8. ผ่าฟันคุด
9. การใส่ฟันปลอมถอดได้ชนิดฐานและโครงพลาสติก
10. การครอบฟันโดยใช้ porcelain หรือ โลหะ และทันตกรรมประดิษฐ์ รวมทั้งการรักษาทางทันตกรรมด้วยนวัตกรรมใหม่ จะคุ้มครองรวมสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีกรมธรรม์ และจะคุ้มครองภายใต้เงื่อนไขความคุ้มครองการรักษาด้านทันตกรรมตามที่กำหนดไม่เกินจำนวนเงิน 80,000 บาท
เงื่อนไขเฉพาะ
สภาพทั้งหมดของการตรวจช่องปากและการตรวจฟันอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งให้มีการเอกซ์เรย์ฟันครบชุดที่บันทึกโดยทันตแพทย์ในแบบฟอร์มการตรวจช่องปาก และการตรวจฟัน (Oral and Dental Examination) ที่กำหนดโดยบริษัท ในครั้งแรกที่ผู้ได้รับความคุ้มครองเข้ารับการตรวจช่องปากและการตรวจฟันนั้น ให้เป็นและถือว่าเป็นสภาพที่เป็นมาก่อนการเอาประกันภัย และไม่ได้รับความคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการตรวจช่องปาก การตรวจฟันและการเอกซ์เรย์ฟันครบชุด โดยทันตแพทย์ ในการตรวจครั้งแรก จะได้รับความคุ้มครองภายใต้ข้อตกลงคุ้มครองการตรวจรักษาด้านทันตกรรม รายงานการช่องปาก การตรวจฟันอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งการเอกซ์เรย์ฟันครบชุด ที่บันทึกโดยทันตแพทย์ตามแบบฟอร์มที่กำหนดโดยบริษัท จะต้องนำส่งให้บริษัทพิจารณาพร้อมกับเอกสารเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามผลประโยชน์การตรวจรักษาด้านทันตกรรมนี้
ข้อยกเว้น
การประกันภัยนี้ ไม่คุ้มครองค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้
1. การร้องขอการรักษาหรือผ่าตัดทางทันตกรรมโดยมิได้มีการแนะนำโดยทันตแพทย์ รวมถึง การบริการทางทันตกรรมที่ไม่จำเป็นต่อการรักษา
2. อุปกรณ์เทียมและอวัยวะเทียมทุกชนิด
3. การตรวจรักษาทางทันตกรรมใดๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อความสวยงาม ได้แก่ การฟอกสีฟัน การรักษาฟันห่าง การรักษาสีฟันที่ผิดปกติ
4. การรักษาอาการนอนกัดฟันทุกชนิด รวมถึงการรักษาความผิดปกติในการนอนหลับ
5. การจัดฟันทุกประเภท รวมถึงการจัดฟันเพื่อแก้ไขการสบฟันที่ผิดปกติ’
อนึ่ง การใส่ฟันปลอมถอดได้ชนิดฐานและโครงพลาสติก จะได้รับความคุ้มครอง
“ความคุ้มครองสำหรับการบำบัดรักษาโรคทางทันตกรรม" มีดังนี้
1. ตรวจฟัน จำกัดความคุ้มครองไม่เกิน 2 ครั้ง / ปี
2. ขูดหินปูน จำกัดความคุ้มครองไม่เกิน 2 ครั้ง / ปี
3. การเคลือบฟลูออไรด์ (เฉพาะผู้ได้รับความคุ้มครองที่มีอายุไม่เกิน 12 ปี)
4. เอ็กซเรย์ฟัน จำกัดความคุ้มครองไม่เกิน 2 ครั้ง / ปี
5. อุดฟัน จำกัดความคุ้มครองไม่เกิน 2 ครั้ง / ปี
6. ถอนฟัน
7. รักษารากฟัน
8. ผ่าฟันคุด
9. การใส่ฟันปลอมถอดได้ชนิดฐานและโครงพลาสติก
10. การครอบฟันโดยใช้ porcelain หรือ โลหะ และทันตกรรมประดิษฐ์ รวมทั้งการรักษาทางทันตกรรมด้วยนวัตกรรมใหม่ จะคุ้มครองรวมสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีกรมธรรม์ และจะคุ้มครองภายใต้เงื่อนไขความคุ้มครองการรักษาด้านทันตกรรมตามที่กำหนดไม่เกินจำนวนเงิน 80,000 บาท
เงื่อนไขเฉพาะ
สภาพทั้งหมดของการตรวจช่องปากและการตรวจฟันอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งให้มีการเอกซ์เรย์ฟันครบชุดที่บันทึกโดยทันตแพทย์ในแบบฟอร์มการตรวจช่องปาก และการตรวจฟัน (Oral and Dental Examination) ที่กำหนดโดยบริษัท ในครั้งแรกที่ผู้ได้รับความคุ้มครองเข้ารับการตรวจช่องปากและการตรวจฟันนั้น ให้เป็นและถือว่าเป็นสภาพที่เป็นมาก่อนการเอาประกันภัย และไม่ได้รับความคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการตรวจช่องปาก การตรวจฟันและการเอกซ์เรย์ฟันครบชุด โดยทันตแพทย์ ในการตรวจครั้งแรก จะได้รับความคุ้มครองภายใต้ข้อตกลงคุ้มครองการตรวจรักษาด้านทันตกรรม รายงานการช่องปาก การตรวจฟันอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งการเอกซ์เรย์ฟันครบชุด ที่บันทึกโดยทันตแพทย์ตามแบบฟอร์มที่กำหนดโดยบริษัท จะต้องนำส่งให้บริษัทพิจารณาพร้อมกับเอกสารเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามผลประโยชน์การตรวจรักษาด้านทันตกรรมนี้
ข้อยกเว้น
การประกันภัยนี้ ไม่คุ้มครองค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้
1. การร้องขอการรักษาหรือผ่าตัดทางทันตกรรมโดยมิได้มีการแนะนำโดยทันตแพทย์ รวมถึง การบริการทางทันตกรรมที่ไม่จำเป็นต่อการรักษา
2. อุปกรณ์เทียมและอวัยวะเทียมทุกชนิด
3. การตรวจรักษาทางทันตกรรมใดๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อความสวยงาม ได้แก่ การฟอกสีฟัน การรักษาฟันห่าง การรักษาสีฟันที่ผิดปกติ
4. การรักษาอาการนอนกัดฟันทุกชนิด รวมถึงการรักษาความผิดปกติในการนอนหลับ
5. การจัดฟันทุกประเภท รวมถึงการจัดฟันเพื่อแก้ไขการสบฟันที่ผิดปกติ’
อนึ่ง การใส่ฟันปลอมถอดได้ชนิดฐานและโครงพลาสติก จะได้รับความคุ้มครอง
คำถาม : แผนประกันสุขภาพ Lifestyle Series ให้ความคุ้มครองด้านสายตาหรือไม่
คำตอบ : (โปรดอ่านรายละเอียดในกรมธรรม์อีกครั้งเพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
แผนประกันสุขภาพที่รวมความคุ้มครองด้านสายตาไว้แล้วคือ Ultima Plus, Ultima และ Maxima Plus
สำหรับแผน Maxima, Premier Plus และ Premier นั้น ผู้เอาประกันสามารถซื้อความคุ้มครองด้านสายตานี้เพิ่มเติมได้
ยกเว้นแผน Standard Extra, STandard Plus และ Standard เท่านั้น ที่ไม่สามารถซื้อประกันภัยสายตานี้ได้
ด้วยเหตุนี้ ในเงื่อนไขข้อยกเว้นทั่วไป (Exclusions) บริษัทประกันภัยจึงได้เขียนข้อยกเว้น #7 ไว้ว่า "การตรวจรักษาความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา และกล้ามเนื้อตา การทำเลสิก ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์เพื่อช่วยในการมองเห็นหรือการรักษาความผิดปกติของการมองเห็น การตรวจรักษา หรือการผ่าตัด ตาเอียง ตาเข ตาเหล่ทุกชนิด"
แผนประกันสุขภาพที่รวมความคุ้มครองด้านสายตาไว้แล้วคือ Ultima Plus, Ultima และ Maxima Plus
สำหรับแผน Maxima, Premier Plus และ Premier นั้น ผู้เอาประกันสามารถซื้อความคุ้มครองด้านสายตานี้เพิ่มเติมได้
ยกเว้นแผน Standard Extra, STandard Plus และ Standard เท่านั้น ที่ไม่สามารถซื้อประกันภัยสายตานี้ได้
ด้วยเหตุนี้ ในเงื่อนไขข้อยกเว้นทั่วไป (Exclusions) บริษัทประกันภัยจึงได้เขียนข้อยกเว้น #7 ไว้ว่า "การตรวจรักษาความผิดปกติเกี่ยวกับสายตา และกล้ามเนื้อตา การทำเลสิก ค่าใช้จ่ายสำหรับอุปกรณ์เพื่อช่วยในการมองเห็นหรือการรักษาความผิดปกติของการมองเห็น การตรวจรักษา หรือการผ่าตัด ตาเอียง ตาเข ตาเหล่ทุกชนิด"
คำถาม : "การตรวจทางด้านสายตา (Vision Benefit)" ครอบคลุมความคุ้มครองใดบ้าง (ถ้ามี)
คำตอบ : อ้างอิงตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ในหมวดสายตา (โปรดอ่านรายละเอียดในกรมธรรม์อีกครั้งเพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
บริษัทตกลงจ่ายผลประโยชน์ในอัตราร้อยละ 80 ของค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรที่ต้องจ่ายจริงแต่ไม่เกินจำนวนเงิน 20,000 บาท เมื่อค่าสายตาเปลี่ยนจากค่าสายตาที่บันทึกไว้ก่อนหน้า สำหรับค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้
ความคุ้มครองสำหรับการตรวจตา การวัดค่าสายตาและความสามารถในการมองเห็นได้แก่
1. ค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจตา และการวัดค่าสายตา
2. ค่าใช้จ่ายสำหรับ แว่นสายตา และแว่นกันแดด (เมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ตามความเห็นของจักษุแพทย์และเลนส์สัมผัส) โดยจำกัดผลประโยชน์จำนวน 1 ชิ้น หรือ 1 ชุด ต่อปีกรมธรรม์
เงื่อนไขเฉพาะ
การตรวจตาและค่าสายตา ที่บันทึกโดยจักษุแพทย์ ในแบบฟอร์มการตรวจตาที่กำหนดโดยบริษัท ในครั้งแรกที่ผู้ได้รับความคุ้มครองเข้ารับการตรวจตา และวัดค่าสายตานั้น จะถือว่าเป็นสภาพที่เป็นมาก่อนการเอาประกันภัย และไม่ได้รับความคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการตรวจตา การวัดค่าสายตาและ ค่าวิชาชีพจักษุแพทย์ในการตรวจครั้งแรก จะได้รับความคุ้มครองภายใต้ข้อตกลงคุ้มครองการตรวจตา และความสามารถในการมองเห็น รายงานการตรวจตา และการวัดค่าสายตาอย่างสมบูรณ์ที่บันทึกโดยจักษุแพทย์ตามแบบฟอร์มที่กำหนดโดยบริษัท จะต้องนำส่งให้บริษัทพิจารณาพร้อมกับเอกสารการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามผลประโยชน์การตรวจตา และความสามารถในการมองเห็นนี้
ข้อยกเว้น
ไม่คุ้มครองค่าใช้จ่ายสำหรับหรือเกี่ยวกับการผ่าตัดแก้ไขเพื่อแก้ไขค่าสายตาและความสามารถในการมองเห็น รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากอาการแทรกซ้อนที่ตามมาหรือผลที่ตามมาจากการรักษาดังกล่าว
สำหรับการรักษาที่เกี่ยวกับโรคตานั้น จะได้รับความคุ้มครองภายใต้หมวดสุขภาพ
บริษัทตกลงจ่ายผลประโยชน์ในอัตราร้อยละ 80 ของค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรที่ต้องจ่ายจริงแต่ไม่เกินจำนวนเงิน 20,000 บาท เมื่อค่าสายตาเปลี่ยนจากค่าสายตาที่บันทึกไว้ก่อนหน้า สำหรับค่าใช้จ่ายดังต่อไปนี้
ความคุ้มครองสำหรับการตรวจตา การวัดค่าสายตาและความสามารถในการมองเห็นได้แก่
1. ค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจตา และการวัดค่าสายตา
2. ค่าใช้จ่ายสำหรับ แว่นสายตา และแว่นกันแดด (เมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ตามความเห็นของจักษุแพทย์และเลนส์สัมผัส) โดยจำกัดผลประโยชน์จำนวน 1 ชิ้น หรือ 1 ชุด ต่อปีกรมธรรม์
เงื่อนไขเฉพาะ
การตรวจตาและค่าสายตา ที่บันทึกโดยจักษุแพทย์ ในแบบฟอร์มการตรวจตาที่กำหนดโดยบริษัท ในครั้งแรกที่ผู้ได้รับความคุ้มครองเข้ารับการตรวจตา และวัดค่าสายตานั้น จะถือว่าเป็นสภาพที่เป็นมาก่อนการเอาประกันภัย และไม่ได้รับความคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการตรวจตา การวัดค่าสายตาและ ค่าวิชาชีพจักษุแพทย์ในการตรวจครั้งแรก จะได้รับความคุ้มครองภายใต้ข้อตกลงคุ้มครองการตรวจตา และความสามารถในการมองเห็น รายงานการตรวจตา และการวัดค่าสายตาอย่างสมบูรณ์ที่บันทึกโดยจักษุแพทย์ตามแบบฟอร์มที่กำหนดโดยบริษัท จะต้องนำส่งให้บริษัทพิจารณาพร้อมกับเอกสารการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามผลประโยชน์การตรวจตา และความสามารถในการมองเห็นนี้
ข้อยกเว้น
ไม่คุ้มครองค่าใช้จ่ายสำหรับหรือเกี่ยวกับการผ่าตัดแก้ไขเพื่อแก้ไขค่าสายตาและความสามารถในการมองเห็น รวมทั้งค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากอาการแทรกซ้อนที่ตามมาหรือผลที่ตามมาจากการรักษาดังกล่าว
สำหรับการรักษาที่เกี่ยวกับโรคตานั้น จะได้รับความคุ้มครองภายใต้หมวดสุขภาพ
คำถาม : การซื้อความคุ้มครองด้าน Vision และ Dental มีข้อปฏิบัติที่สำคัญอะไรบ้าง
คำตอบ :
- ผู้เอาประกันต้องนำส่งผลการตรวจของสายตาและฟัน ตามแบบฟอร์มที่บริษัทประกันภัยกำหนด ก่อนได้รับความคุ้มครอง
- ผู้เอาประกันภัย ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายร่วม 20% โดยบริษัทประกันภัยจะรับผิดชอบส่วนที่เหลืออีก 80%
- ผลประโยชน์นี้จะไม่ครอบคลุมการรักษาที่เกี่ยวกับการเสริมความงามและอุปกรณ์เทียมทุกกรณี
- ผู้เอาประกันต้องนำส่งผลการตรวจของสายตาและฟัน ตามแบบฟอร์มที่บริษัทประกันภัยกำหนด ก่อนได้รับความคุ้มครอง
- ผู้เอาประกันภัย ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายร่วม 20% โดยบริษัทประกันภัยจะรับผิดชอบส่วนที่เหลืออีก 80%
- ผลประโยชน์นี้จะไม่ครอบคลุมการรักษาที่เกี่ยวกับการเสริมความงามและอุปกรณ์เทียมทุกกรณี
ตำถาม : ความคุ้มครองด้านสาย (Vision) ต้องเข้าตรวจวัด และรักษาที่ใด
คำตอบ : ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาจากสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรอง มีเครื่องตรวจวัดค่าสายตา มีใบรับรองผลค่าสายตา มีใบเสร็จรับเงิน และได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
คำถาม : ค่าใช้จ่ายของการรักษาสายตาและฟัน สามารถนำมาคิดหักเป็นยอดเงิน Deductible ได้หรือไม่
คำตอบ ; ค่าใช้จ่ายของการรักษาสายตาและฟัน (รวมถึงค่าคลอดบุตร) ไม่สามารถนำมาคิดหักจากยอด Deductible ได้
คำถาม : "ส่วนลดสำหรับครอบครัว สามี ภรรยา และบุตร (อย่างน้อย 1 คน)" นั้น ในกรณีของครอบครัวสามีและภรรยาที่ไม่มีบุตร จะยังมีสิทธิได้รับส่วนลดนี้หรือไม่ และสิทธิส่วนลดครอบครัวนี้จำกัดอายุของบุตรหรือไม่
คำตอบ : ครอบครัวที่ไม่มีบุตรจะไม่มีสิทธิได้รับส่วนลดนี้ และสิทธิส่วนลดครอบครัวนี้ไม่จำกัดอายุของบุตร
อนึ่ง ครอบครัวในที่นี้หมายถึง สามีและภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฏหมาย และบุตรตามกฏหมายที่เกิดจากสามีและภรรยา
ที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฏหมาย
อนึ่ง ครอบครัวในที่นี้หมายถึง สามีและภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฏหมาย และบุตรตามกฏหมายที่เกิดจากสามีและภรรยา
ที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฏหมาย
คำถาม : กลุ่มผู้เอาประกัน คือ สามี ภรรยา และบุตร (อย่างน้อย 1 คน) ที่ได้รับ "ส่วนลดสำหรับครอบครัว" จำนวน 5% แล้ว จะยังคงมีสิทธิได้รับ "ส่วนลดกลุ่ม" ประเภทอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกหรือไม่
คำตอบ : ผู้เอาประกันมีสิทธิเลือกรับส่วนลดอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
คำถาม : การมีสิทธิได้รับ "ส่วนลดสำหรับครอบครัว" 5% นั้น สามี ภรรยา และบุตร จำเป็นต้องทำประกันสุขภาพในแผนเดียวกัน และด้วยเงื่อนไขเดียวกันหรือไม่
ตัวอย่างเช่น ถ้าสามีทำประกันแผน Ultima ส่วนภรรยาเลือกแผน Maxima และบุตรเลือกแผน Premier ในกรณีเช่นนี้ ทั้งสามคนของครอบครัวนี้จะยังได้รับส่วนลดครอบครัว 5% หรือไม่?
อีกตัวอย่างคือ ถ้าสามี ภรรยา และบุตร ทำประกันแผน Maxima ทั้งสามคน แต่สามีเลือก No OPD Option โดยไม่มี Deductible ส่วนภรรยาและบุตรเลือก 40,000 Baht Deduction Option ในกรณีเช่นนี้ ทั้งสามคนของครอบครัวนี้จะยังได้รับส่วนลดครอบครัว 5% หรือไม่?
ตัวอย่างเช่น ถ้าสามีทำประกันแผน Ultima ส่วนภรรยาเลือกแผน Maxima และบุตรเลือกแผน Premier ในกรณีเช่นนี้ ทั้งสามคนของครอบครัวนี้จะยังได้รับส่วนลดครอบครัว 5% หรือไม่?
อีกตัวอย่างคือ ถ้าสามี ภรรยา และบุตร ทำประกันแผน Maxima ทั้งสามคน แต่สามีเลือก No OPD Option โดยไม่มี Deductible ส่วนภรรยาและบุตรเลือก 40,000 Baht Deduction Option ในกรณีเช่นนี้ ทั้งสามคนของครอบครัวนี้จะยังได้รับส่วนลดครอบครัว 5% หรือไม่?
คำตอบ : สมาชิกครอบครัวทุกคนต้องทำประกันสุขภาพในแผนเดียวกันและด้วยเงื่อนไขเดียวกัน เนื่องจากกรมธรรม์จะออกในฉบับเดียวกัน ดังนั้น คำตอบสำหรับตัวอย่างในข้างต้นคือ ไม่ได้รับส่วนลด 5%
คำถาม : การคิดส่วนลดกรณีไม่มีเคลม (No Claim Discount) นั้น ให้นิยามสำหรับคำว่า "ไม่มีเคลม" ไว้อย่างไรบ้าง? ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้เอาประกันเจ็บป่วยและมีการรักษาพยาบาลเกิดขึ้น แต่ผู้เอาประกันเลือกที่จะไม่ส่งเอกสารเพื่อทำเคลม (เรียกร้องสินไหม) จะถือเป็น "ไม่มีเคลม" ใช่หรือไม่? หรือในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเลือกเงื่อนไขรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนแรกเอง (Deductible) พอเกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจึงนำส่งหลักฐานการจ่ายเงินเพื่อนับรวมในยอดสะสมสำหรับการคิด Deductible แต่มิได้เรียกร้องเงินสินไหม ในกรณีเช่นนี้จะถือเป้นการ "ไม่มีเคลม" หรือไม่?
คำตอบ : การพิจารณาว่า "ไม่มีเคลม" และให้ส่วนลดกรณีไม่มีเคลม (No Claim Discount) นั้น บริษัทประกันภัยจะยึดการจ่ายเงินค่าสินไหมที่เกิดขึ้นจริงเป็นเกณฑ์ (ซึ่งแตกต่างจากแผนเดิมของ LMG-PH ซึ่งการนับว่า "ไม่มีเคลม" จะคำนึงถึงว่าต้องไม่มีการนำส่งเอกสารเพื่อเรียกร้องสินไหม แม้จะเป็นกรณีที่บริษัทประกันภัยไม่คุ้มครองไว้ก็ตาม)
พูดได้อีกนัยหนึ่งว่า การไม่มีเคลมจะเกิดขึ้นในกรณีต่อไปนี้
กล่าวโดยสรุปคือ การพิจารณาให้ No Claim Discount (Bonus) บริษัทประกันภัยจะดูจากการที่บริษัทประกันภัยนั้นต้องจ่ายเงินค่าสินไหมจริงๆ โดยหากไม่เกิดการจ่ายเงินค่าสินไหม (แม้จะรู้ว่าผู้เอาประกันภัยนั้นเจ็บป่วยหรือส่งเอกสารเคลม เช่น ในกรณีของ Deductible หรือในกรณีของการส่งเคลมมาแต่ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม) ผู้เอาประกันภัยยังคงได้รับสิทธิ No Claim Discount อยู่ดี
พูดได้อีกนัยหนึ่งว่า การไม่มีเคลมจะเกิดขึ้นในกรณีต่อไปนี้
- ผู้เอาประกันไม่ได้ส่งเอกสารมายังบริษัทประกันภัยเพื่อเรียกร้องค่าสินไหม (แม้ว่าจะเจ็บป่วยจริงและมีการรักษาพยาบาลเกิดขึ้นก็ตาม) นั่นคือ ถ้าไม่มีการนำส่งเอกสารเพื่อขอเคลมกับบริษัทประกันภัย ก็ถือได้ว่า "ไม่มีการเคลม" เกิดขึ้น ทำให้ได้รับสิทธิใน No Claim Discount
- แม้ว่าผู้เอาประกันภันเลือกที่จะนำส่งเอกสารเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมกับบริษัทประกันภัยก็ตาม หากในที่สุดแล้ว บริษัทประกันภัยพิจารณาและปฏิเสธการจ่ายเงินค่าสินไหมให้ตามที่ร้องขอมา ก็จะถือว่าเป็นกรณี "ไม่มีเคลม" เช่นกัน ทำให้ยังคงได้รับสิทธิใน No Claim Discount
- สำหรับกรณี Deductible นั้น ให้ยึดใช้หลักการเดียวกัน กล่าวคือ หากบริษัทประกันภัยไม่ได้จ่ายค่าสินไหมให้ ก็จะถือว่าเป็นกรณี "ไม่มีเคลม" เช่นกัน ทำให้ผู้เอาประกันภัยที่เลือกเงื่อนไข Deductible นั้นยังคงได้รับสิทธิใน No Claim Discount เช่นกัน
กล่าวโดยสรุปคือ การพิจารณาให้ No Claim Discount (Bonus) บริษัทประกันภัยจะดูจากการที่บริษัทประกันภัยนั้นต้องจ่ายเงินค่าสินไหมจริงๆ โดยหากไม่เกิดการจ่ายเงินค่าสินไหม (แม้จะรู้ว่าผู้เอาประกันภัยนั้นเจ็บป่วยหรือส่งเอกสารเคลม เช่น ในกรณีของ Deductible หรือในกรณีของการส่งเคลมมาแต่ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม) ผู้เอาประกันภัยยังคงได้รับสิทธิ No Claim Discount อยู่ดี
คำถาม : การสมัครทำแผนประกันสุขภาพ Lifestyle Series จะใช้หลักการของ "Policy Holder" กล่าวคือ ครอบครัวหรือกลุ่มผู้เอาประกันเดียวกันจะต้องกรอกใบสมัครโดยเลือกหัวหน้าครอบครัวหรือกลุ่มมาเป็น "Policy Holder" ของครอบครัวหรือกลุ่ม ใช่หรือไม่
คำตอบ : ถูกต้อง
คำถาม : ตัวอย่างคือ ผู้เอาประกันที่เลือกรับส่วนลด 100,000 Baht Deductible Option ซึ่งรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนแรกเองจำนวน 100,000 บาท และภายในปีกรมธรรม์นั้นเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา แต่มีค่ารักษาพยาบาลรวมกันแล้ว "น้อยกว่า" 100,000 บาท จึงไม่สามารถเบิกเคลมกับบริษัทประกันสุขภาพ PCHI ได้นั้น ในกรณีเช่นนี้ จะถือว่าผู้เอาประกันรายนี้ "ไม่มีการเคลม" ใช่หรือไม่? นั่นคือ ในปีต่ออายุกรมธรรม์ต่อมา ผู้เอาประกันรายนี้จะมีสิทธิได้รับส่วนลด 1-Year No Claim จำนวน 10% แม้ว่าจะเคยเจ็บป่วยก็ตาม (แต่ไม่เบิกหรือเคลมไม่ได้เพราะมีเงื่อนไข Deductible อยู่) ใช่หรือไม่?
คำตอบ : ถูกต้อง
คำถาม : แผนประกันสุขภาพ Lifestyle Series ให้สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับทารกที่เกิดใหม่หรือไม่
คำตอบ : ทุกแผนให้สิทธิประโยชน์พิเศษที่เรียกว่า "การคุ้มครองทารกแรกเกิดฟรี (Free New-Born-Child Coverage)" กล่าวคือ ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยและคู่สมรสได้เอาประกันภัยไว้ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยนี้ ทารกแรกเกิดของผู้เอาประกันภัยและคู่สมรสซึ่งเกิดในระหว่างที่กรมธรรม์ประกันภัยนี้มีผลบังคับมาแล้วไม่น้อยกว่า 280 วันนับแต่กรมธรรม์ประกันภัยมีผลบังคับเป็นครั้งแรก จะได้รับความคุ้มครองเท่ากับผู้เอาประกันภัยและคู่สมรส (ยกเว้น การดูแลและการตรวจสุขภาพทั่วไป (Well Care) และค่าใช้จ่ายและการพบแพทย์สำหรับการรักษาพยาบาลที่ไม่ได้อยู่รักษาในโรงพยาบาล (ผู้ป่วยนอก)) ซึ่งความคุ้มครองดังกล่าวจะเริ่มเมื่อทารกมีอายุครบ 15 วันและไม่ได้กำลังอยู่รักษาในโรงพยาบาล จนถึงวันสิ้นสุดความคุ้มครองตามปีกรมธรรม์ประกันภัย
ผู้เอาประกันภัยจะต้องกรอกใบสมัคร พร้อมแนบสำเนาสูติบัตรของทารกแรกเกิดมาแจ้งต่อบริษัทประกันภัย
ผู้เอาประกันภัยจะต้องกรอกใบสมัคร พร้อมแนบสำเนาสูติบัตรของทารกแรกเกิดมาแจ้งต่อบริษัทประกันภัย
คำถาม : ตามเงื่อนไข Free new born child นั้น การที่บุตรเพิ่งเกิดจะได้รับการคุ้มครองฟรีหลังจาก 15 วันเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วนั้น ผู้เอาประกันกับ Pacific Cross จะต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็พอ จึงจะได้รับสิทธินี้?
คำตอบ : ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ทั้งสองคนจะต้องมีประกันสุขภาพกับ Pacific Cross อยู่ก่อนแล้ว โดย
"ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยและคู่สมรสมีความคุ้มครองที่แตกต่างกัน ทารกจะได้รับความคุ้มครองตามความคุ้มครองของผู้ได้รับความคุ้มครองที่ต่ำกว่า
แต่ทั้งนี้ความคุ้มครองของทารก ขึ้นอยู่กับการพิจารณารับประกันของบริษัท"
"ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยและคู่สมรสมีความคุ้มครองที่แตกต่างกัน ทารกจะได้รับความคุ้มครองตามความคุ้มครองของผู้ได้รับความคุ้มครองที่ต่ำกว่า
แต่ทั้งนี้ความคุ้มครองของทารก ขึ้นอยู่กับการพิจารณารับประกันของบริษัท"
คำถาม : ตามเงื่อนไข Free new born child บุตรที่เพิ่งคลอดจะสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้เลยในทันทีที่เกิด หรือต้องรอให้อายุเกิน 15 วันก่อนจึงจะได้รับความคุ้มครอง
คำตอบ : ทารกจะได้รับคุ้มครองหลังจากที่เกิดมาแล้ว 15 วัน และหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว จึงได้รับการคุ้มครองนี้ โดยในส่วนที่คุ้มครองนั้น แผนประกันจะคุ้มครองเฉพาะกรณี IPD เท่านั้น (ที่เด็กต้องกลับเข้าไป admit เป็นผู้ป่วยในเท่านั้น) และจะไม่คุ้มครองกรณีผู้ป่วยนอก (OPD)
คำถาม : ตามเงื่อนไข Free new born child ถ้ากรมธรรม์หลักของคุณแม่มี deductible ไว้เท่ากับ 200,000 บาทแล้ว บุตรที่เพิ่งคลอดจะใช้วงเงิน deductible ร่วมกับคุณแม่ หรือบุตรดังกล่าวจะมีวงเงิน deductible ใหม่อีก 2 แสนที่แยกออกต่างหาก?
คำตอบ : Deductible แยกจากคุณแม่
คำถาม : กรณีผู้เอาประกันภัยเดินทางไปต่างประเทศและพำนักอยู่เ็นเวลานานจะยังได้รับความคุ้มครองจากแผนประกันนี้หรือไม่ เช่น กรณีไปศึกษาหรือทำงานอยู่ในต่างประเทศ ฯลฯ
คำตอบ : แผนประกันสุขภาพของ Pacific Cross Health Insurance (PCHI) ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกประเทศทั่วโลกในกรณีฉุกเฉิน
แต่ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเดินทางไปต่างประเทศและพำนักอยู่ในระยะยาวไม่เกิน 60 วัน (นับจากวันที่เดินทางไปถึงอ้างอิงตาม passport) บริษัทประกันภัยจะยังให้ความคุ้มครอง ซึ่งหากมีการรักษาเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้ว บริษัทจะขอให้ผู้เอาประกันภัยสำรองจ่ายเงินส่วนตัวไปก่อนแล้วค่อยนำใบเสร็จและใบรับรองแพทย์มาเบิกในภายหลัง อย่างไรก็ตามในกรณีที่ป่วยหนัก และลูกค้าไม่สะดวกที่จะสำรองจ่าย โปรดติดต่อมาที่ศูนย์ประสานงานกลางของบริษัทเพื่อดำเนินการจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในต่างประเทศให้ได้ค่ะ
ในกรณีที่ลูกค้าจะเดินทางไปต่างประเทศและพำนักอยู่เป็นระยะเวลานาน แบ่งออกเป็น 3 กรณีดังนี้
1) กรณีที่ไปพำนักอยู่ต่างประเทศเป็นระยะเวลาไม่เกิน 60 วัน ลูกค้าไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทางบริษัทประกันภัยรับทราบก่อน เนื่องจากบริษัทประกันภัยให้ความคุ้มครองอยู่แล้ว
2) กรณีที่ไปพำนักอยู่ต่างประเทศเกินระยะเวลา 60 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี ลูกค้าจะต้องแจ้งให้ทางบริษัทประกันภัยรับทราบก่อนถึงระยะเวลาที่จะไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งบริษัทประกันภัยจะรับไปพิจารณาโดยอาจจะเพิ่ม loading เบื้ยประกันภัย ตามความเหมาะสม
3) กรณีที่ไปอยู่ต่างประเทศเกิน 1 ปี แผนประกันสุขภาพของ Pacific Cross Health Insurance จะไม่ให้ความคุ้มครอง รวมทั้งไม่รับพิจารณาเรื่อง loading ค่าเบี้ยประกันภัยด้วยค่ะ (ในกรณีเช่นนี้ เราขอแนะนำให้ลูกค้าเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพของบริษัทอื่นแทน ซึ่งน่าจะเหมาะสมกว่า)
แต่ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเดินทางไปต่างประเทศและพำนักอยู่ในระยะยาวไม่เกิน 60 วัน (นับจากวันที่เดินทางไปถึงอ้างอิงตาม passport) บริษัทประกันภัยจะยังให้ความคุ้มครอง ซึ่งหากมีการรักษาเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้ว บริษัทจะขอให้ผู้เอาประกันภัยสำรองจ่ายเงินส่วนตัวไปก่อนแล้วค่อยนำใบเสร็จและใบรับรองแพทย์มาเบิกในภายหลัง อย่างไรก็ตามในกรณีที่ป่วยหนัก และลูกค้าไม่สะดวกที่จะสำรองจ่าย โปรดติดต่อมาที่ศูนย์ประสานงานกลางของบริษัทเพื่อดำเนินการจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในต่างประเทศให้ได้ค่ะ
ในกรณีที่ลูกค้าจะเดินทางไปต่างประเทศและพำนักอยู่เป็นระยะเวลานาน แบ่งออกเป็น 3 กรณีดังนี้
1) กรณีที่ไปพำนักอยู่ต่างประเทศเป็นระยะเวลาไม่เกิน 60 วัน ลูกค้าไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทางบริษัทประกันภัยรับทราบก่อน เนื่องจากบริษัทประกันภัยให้ความคุ้มครองอยู่แล้ว
2) กรณีที่ไปพำนักอยู่ต่างประเทศเกินระยะเวลา 60 วัน แต่ไม่เกิน 1 ปี ลูกค้าจะต้องแจ้งให้ทางบริษัทประกันภัยรับทราบก่อนถึงระยะเวลาที่จะไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งบริษัทประกันภัยจะรับไปพิจารณาโดยอาจจะเพิ่ม loading เบื้ยประกันภัย ตามความเหมาะสม
3) กรณีที่ไปอยู่ต่างประเทศเกิน 1 ปี แผนประกันสุขภาพของ Pacific Cross Health Insurance จะไม่ให้ความคุ้มครอง รวมทั้งไม่รับพิจารณาเรื่อง loading ค่าเบี้ยประกันภัยด้วยค่ะ (ในกรณีเช่นนี้ เราขอแนะนำให้ลูกค้าเลือกซื้อแผนประกันสุขภาพของบริษัทอื่นแทน ซึ่งน่าจะเหมาะสมกว่า)
คำถาม : โปรดยกตัวอย่างการนับจำนวนวันที่พำนักในต่างประเทศ
กรณี ก. ลูกค้าเดินทางไปพำนักในประเทศสหรัฐอเมริกา 59 วัน แล้วเดินทางกลับไทย 2 วัน แล้วเดินทางกลับไปอเมริกาใหม่อีกครั้งเพื่อพำนักอีก 59 วัน
หากทำเช่นนี้ จะถือว่าลูกค้าพำนักในต่างประเทศเกิน 60 วัน ซึ่งต้องแจ้งก่อน และจะถูก loading หรือไม่?
ตอบ ในกรณีนี้ เมื่อลูกค้ากลับไทย หลังจากเดินทาง 59 วัน (ไม่เกิน 60 วัน) ซึ่งจะมีการบันทึกวันเดินทางเข้าและออกจากประเทศจากแผนก Immigration บน passport อยู่แล้ว และเมื่อลูกค้ามีการเดินทางออกไปอีกครั้งก็จะเริ่มนับหนึ่งใหม่ ดังนั้นถ้าลูกค้ามีการเดินทางในแต่ละรอบไม่เกิน 60 วัน PCHI จะให้ความคุ้มครองตามปกติ
กรณี ข. ลูกค้าเดินทางไปพำนักในประเทศสหรัฐอเมริกา 59 วัน แล้วเดินทางไปพำนักในประเทศญี่ปุ่น 2 วัน แล้วเดินทางกลับไปอเมริกาใหม่อีกครั้งเพื่อพำนักอีก 59 วัน หากทำเช่นนี้ จะถือว่าลูกค้าพำนักในต่างประเทศเกิน 60 วัน ซึ่งต้องแจ้งก่อน และจะถูก loading หรือไม่?
ตอบ ในกรณีนี้ ลูกค้าเดินทางไปต่างประเทศรวมแล้วเกิน 60 วัน ซึ่งถ้าลูกค้าต้องการความคุ้มครองที่ต่อเนื่อง ลูกค้าจะต้องแจ้งก่อนการเดินทางเพื่อให้ทาง PCHI พิจารณา
หากทำเช่นนี้ จะถือว่าลูกค้าพำนักในต่างประเทศเกิน 60 วัน ซึ่งต้องแจ้งก่อน และจะถูก loading หรือไม่?
ตอบ ในกรณีนี้ เมื่อลูกค้ากลับไทย หลังจากเดินทาง 59 วัน (ไม่เกิน 60 วัน) ซึ่งจะมีการบันทึกวันเดินทางเข้าและออกจากประเทศจากแผนก Immigration บน passport อยู่แล้ว และเมื่อลูกค้ามีการเดินทางออกไปอีกครั้งก็จะเริ่มนับหนึ่งใหม่ ดังนั้นถ้าลูกค้ามีการเดินทางในแต่ละรอบไม่เกิน 60 วัน PCHI จะให้ความคุ้มครองตามปกติ
กรณี ข. ลูกค้าเดินทางไปพำนักในประเทศสหรัฐอเมริกา 59 วัน แล้วเดินทางไปพำนักในประเทศญี่ปุ่น 2 วัน แล้วเดินทางกลับไปอเมริกาใหม่อีกครั้งเพื่อพำนักอีก 59 วัน หากทำเช่นนี้ จะถือว่าลูกค้าพำนักในต่างประเทศเกิน 60 วัน ซึ่งต้องแจ้งก่อน และจะถูก loading หรือไม่?
ตอบ ในกรณีนี้ ลูกค้าเดินทางไปต่างประเทศรวมแล้วเกิน 60 วัน ซึ่งถ้าลูกค้าต้องการความคุ้มครองที่ต่อเนื่อง ลูกค้าจะต้องแจ้งก่อนการเดินทางเพื่อให้ทาง PCHI พิจารณา
คำถาม : การปรับขึ้นค่าเบี้ยประกันสุขภาพในแต่ละปีนั้น มีการจำกัดเพดานสูงสุดไว้หรือไม่?
คำตอบ : เพดานสูงสุดที่บริษัทประกัน Pacific Cross ได้ขอไว้กับ คปภ. สำหรับการปรับค่าเบี้ยรายบุคคลคือ 25% ต่อปี
คำถาม : การสมัครทำประกันสุขภาพจำเป็นต้องแนบผลการตรวจสุขภาพไปด้วยเสมอหรือไม่ หรือยื่นผลฯ ดังกล่าวนี้เมื่อทาง Pacific Cross ขอมาเท่านั้น?
คำตอบ : ผลการตรวจร่างกายจะต้องยื่นพร้อมใบสมัครเฉพาะกรณีผู้สมัครมีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไปเท่านั้น
คำถาม : การสมัครเอาประกันภัย ผู้สมัคร เพศหญิงอายุมากกว่า 35 ปีจำเป็นต้องส่งผลตรวจ Mammogram และ Pap Smear ไปพร้อมกับใบสมัครฯ ด้วยเสมอหรือไม่ มีกรณีใดที่อนุโลมยกเว้นให้บ้างไหม?
คำตอบ : ผลการตรวจ Mammogram และ Pap Smear จะต้องยื่นพร้อมใบสมัครเฉพาะกรณีผู้สมัครเพศหญิงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปเท่านั้น
คำถาม : การสมัครเอาประกันภัย ผู้สมัคร เพศหญิงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ถูกกำหนดให้ส่งผลการตรวจ Mammogram และ Pap Smear ที่ไม่นานเกิน 3 เดือนมาด้วย ข้อสงสัยคือ ในกรณีที่ผู้สมัครมีความกังวลไม่อยากตรวจทั้งรายการนี้ด้วยเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ จะสามารถขอยกเว้นหรือค้างการส่งผลตรวจฯ ไว้ก่อนได้หรือไม่? โดยหากผู้สมัครฯ ค้างการส่งผลตรวจฯ ดังกล่าว ก็จะติด exclusion ทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ จนกว่าจะมีการส่งผลการตรวจเพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าวนี้ใช่หรือไม่?
คำตอบ : ผลตรวจ Mammogram และ Pap Smear ควรมีอายุไม่เกิน 3 เดือน และถ้าผู้สมัครไม่ประสงค์จะทำการตรวจ ก็จะติดเป็น exclusion ของโรคดังกล่าวนั้นๆ
คำถาม : การชำระค่าเบี้ยประกันด้วยบัตรเครดิตจะเสียค่าธรรมเนียม 3% หรือไม่?
คำตอบ : ไม่มีค่าธรรมเนียมถ้าผู้เอาประกันและเจ้าของบัตรเครดิตเป็นบุคคลคนเดียวกัน